วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2561

การเคลื่อนไหวและกิจกรรมทางกาย

การเคลื่อนไหวเบื้องต้น                                                                                          
                                                                                           
                            ลักษณะการเคลื่อนไหวเบื้องต้นของร่างกาย         
การเคลื่อนไหว คือ การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งที่ต่อเนื่องกัน โดยส่วนที่เกี่ยวข้องที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวได้แก่  กลไกการทำงานของข้อต่อ  กล้ามเนื้อและระบบประสาท การเคลื่อนไหวเบื้องต้นของร่างกายโดยทั่วไปมี 2 ลักษณะ คือ การเคลื่อนไหวแบบไม่เคลื่อนที่ และ การเคลื่อนไหวแบบเคลื่อนที่
1. การเคลื่อนไหวแบบไม่เคลื่อนที่ เป็นการใช้ส่วนต่างๆ ของร่างกายเคลื่อนไหวโดยที่ร่างกายอยู่กับที่ เช่นการอ้าปาก  หุบปาก  การยกไหล่ขึ้นลง  การกระพริบตา เป็นต้น  ส่วนท่าทางในการปฏิบัติภารกิจประจำวันและท่าทางที่ใช้ในการออกกำลังกาย เล่นกีฬาโดยทั่วไปมีดังนี้
          - การก้มเงย คือ การงอพับตัวให้ร่างกายส่วนบนลงมาใกล้กับส่วนล่าง
          - การยืด - เหยียด คือ การเคลื่อนไหวในทางตรงข้ามกับการก้ม โดยพยายามยืดเหยียดกล้ามเนื้อให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
          - การบิด คือ การทำส่วนต่าง ๆ ของร่างกายบิดไปจากแกนตั้ง  เช่น  การบิดลำตัว
          - การดึง คือ การพยายามทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้ามาหาร่างกายหรือทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
          - การดัน คือ การพยายามทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ห่างออกจากร่างกาย  เช่น  การดันโต๊ะ
          การเหวี่ยง คือ การเคลื่อนไหวสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยหมุนรอบจุดให้เป็นเส้นโค้งหรือวงกลม เช่น การเหวี่ยงแขน
          - การหมุน  คือ การกระทำที่มากกว่าการบิด  โดยกระทำรอบๆ แกน เช่น  การหมุนตัว
          - การโยก  คือ การถ่ายน้ำหนักตัวจากส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายไปยังอีกส่วนหนึ่ง โดยเท้าทั้งสองแตะพื้นสลับกัน
          - การเอียง คือ การทิ้งน้ำหนักไปยังส่วนใดส่วนหนึ่งโดยไม่ถ่ายน้ำหนัก เช่น ยืนเอียงคอ
          การสั่นหรือเขย่า คือ การเคลื่อนไหวสั่นสะเทือนส่วนต่างๆ ของร่างกายซ้ำๆ ต่อเนื่องกัน เช่น การสั่นหน้า การเขย่ามือ  สั่นแขนขา
          - การส่าย  คือ การบิดไปกลับติดต่อกันหลายๆ ครั้ง เช่น การส่ายสะโพก ส่ายศีรษะ
2.  การเคลื่อนไหวแบบเคลื่อนที่ เป็นการเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ได้แก่ การเดิน  การวิ่ง  การกระโดด 
การกระโดดเขย่ง  การสไลด์

กลไกการเคลื่อนไหวของข้อต่อ
           ข้อต่อ  คือ  ส่วนที่เชื่อมยึดระหว่างกระดูกกับกระดูกหรือระหว่างกระดูกกับกระดูกอ่อนหรือกระดูกอ่อนกับกระดูกอ่อนเชื่อมต่อกัน  โดยมีเอ็นและพังผืดยึดเหนี่ยวให้กระดูกติดกัน ข้อต่อจะเคลื่อนไหวได้หรือไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเชื่อมต่อของปลายกระดูกนั้น ซึ่งลักษณะของข้อต่อที่พบแบ่งได้ 3  ชนิด
1. ข้อต่อที่เคลื่อนไหวไม่ได้ เป็นข้อต่อที่มีลักษณะคล้ายฟันปลามาเชื่อมต่อกันระหว่างปลายกระดูกแต่ละชิ้น ได้แก่ ข้อต่อกะโหลกศีรษะ
2. ข้อต่อที่เคลื่อนไหว เป็นข้อต่อที่ส่วนปลายกระดูกมาต่อกันโดยมีกระดูกอ่อนหรือเอ็นแทรกอยู่ระหว่างกระดูก 2 ชิ้น
ได้แก่ กระดูกสันหลัง กระดูกหัวเหน่า กระดูกข้อมือ ฯลฯ การเคลื่อนไหวข้อต่อต่าง ๆ นี้ เช่น การกระดกฝ่ามือ ฝ่าเท้า การเอียงตัวทางซ้าย – ทางขวา เป็นต้น 
3. ข้อต่อที่เคลื่อนไหวได้มาก เป็นข้อต่อที่สามารถเคลื่อนไหวได้สะดวก  พบทั่วร่างกาย  ลักษณะของข้อต่อชนิดนี้จะเป็นโพรง  มีเอ็นหรือกระดูกกั้นกลาง  มีถุงหุ้มข้อต่อมีเยื่อบาง ๆ ทำหน้าที่คล้ายน้ำมันเครื่อง  ทำให้ข้อต่อเคลื่อนไหวง่าย  ข้อต่อชนิดนี้  ได้แก่ ข้อต่อที่สะโพก  หัวไหล่  หัวเข่า  เป็นต้น  ข้อต่อชนิดนี้ส่วนใหญ่ใช้ในการออกกำลังกาย เล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ
รูปแบบการเคลื่อนไหวต่างๆ
1. การเดิน  หมายถึงการเดินแบบธรรมดา แต่เพื่อความนิ่มนวลและสวยงามขึ้นก็เพิ่มการย่อเข่าเข้าไปด้วย  อาจจะเดินไปข้างหน้าและเดินถอยหลังก็ได้ ลักษณะของการเดินคือ เมื่อเท้าใดยกขึ้นก้าวเดินไปข้างหน้า อีกเท้าหนึ่งจะต้องติดอยู่กับพื้นเสมอ

2. การวิ่ง  หมายถึง การวิ่งแบบธรรมดาด้วยการใช้ส้นเท้าหรือปลายเท้าลงสู่พื้น ลักษณะของการวิ่งคือ ในขณะที่ก้าวเท้าวิ่งไปนั้นจะมีจังหวะหนึ่งที่ลอยพ้นพื้นทั้งสองเท้า

3. การก้าวเท้าแล้วชิด (Two- Step) หมายถึงการก้าวเท้าไปข้างหน้า 1 ก้าว แล้วลากเท้าหลังมาชิดส้นเท้าหน้าเร็วๆ พร้อมกับรีบก้าวหรือใสเท้าหน้าออกไปข้างหน้าทันที แล้วเริ่มต้นใหม่ด้วยเท้าใดก่อนก็ได้ ทำสลับกันไป  ถ้าจะนับเป็นจังหวะก็จะได้ดังนี้  1-2-3  หรือ ก้าว – ชิด – ก้าว

4. การสไลด์  ( Slide ) หมายถึง การก้าวเท้าออกไปทางข้าง เริ่มด้วยเท้าไหนก็ได้ ถ้าเริ่มเท้าซ้ายก็ก้าวออกไปทางข้างซ้าย ถ้าเริ่มเข้าขวาก็ก้าวออกไปทางข้างขวา เมื่อก้าวเท้าออกทางข้างแล้วก็ลากอีกเท้าหนึ่งมาชิด แล้วก็เริ่มต้นใหม่ ถ้าจะนับเป็นจังหวะก็จะได้ดังนี้ 1-2-3  หรือ  ก้าว ชิด ก้าว เช่นเดียวกันกับการก้าวเท้าแล้วชิด (Two- Step) 

5. การกระโดดและลงเท้าเดียว ( Hop ) หมายถึงการก้าวแล้วกระโดดเขย่ง เช่น เมื่อก้าวเท้าซ้ายออกไป ขณะที่ยกเท้าขวาก้าวตามไปนั้นน้ำหนักตัวอยู่บนเท้าซ้าย ให้ใช้เท้าซ้ายกระโดดขึ้นแล้วลงสู่พื้นด้วยเท้าซ้าย ( เท้าเดิม ) ส่วนเท้าขวาให้ยกเท้าพ้นพื้นงอเข่าไว้ถ้าจะนับเป็นจังหวะก็จะได้ 1- กระโดด หรือ ก้าว กระโดด

6. กระโดด  หมายถึงการกระโดดขึ้นจากพื้นด้วยเท้าเดียวหรือสองเท้าแล้วลงสู่พื้นด้วยเท้าเดียวหรือสองเท้า

7. ชาติช  ( Schottische ) หมายถึง การก้าวไปข้างหน้า 3 ก้าว  แล้วทำกระโดดและลงเท้าเดียว (Hop)  นั่นเอง จะเริ่มด้วยเท้าใดก่อนก็ได้ ถ้าจะนับเป็นจังหวะก็ได้ดังนี้ 1– 2 -3 – เขย่ง (hop) หรือ ก้าว - ก้าว - ก้าว เขย่ง (hop)
ซ้าย ขวา ซ้าย เขย่ง (hop)

8. การแตะส้นและปลายเท้า (Heel and Toe) หมายถึงการใช้ส้นเท้าแตะพื้น แล้วเปลี่ยนเป็นใช้ปลายเท้าแตะพื้น

9. โด ซิ โด  (Do – Si -Do)  หมายถึงการยกแขนทั้งสองขึ้นระดับไหล่ กางข้อศอกออกข้าง ๆ พับแขนท่อนล่างเข้ามาข้างหน้าระดับคอ  ฝ่ามือแบและคว่ำลงแล้วเดินสวนกันกับคู่ หลีกกันทางซ้ายเมื่อหลังพันกันก็ให้เดินถอยกลับโดยวนทางขวามือ (หลีกกันทางขวา)  จนกลับมา

10. สวิงข้อศอก (Elbow  Swing) หมายถึงการใช้ข้อศอกซ้ายหรือขวาคล้องกันกับคู่แล้วเดินหรือวิ่ง หรือ Hop หรือ
ชาติช หรือ Skip หมุนไปรอบๆ คู่ ถ้าคล้องศอกขวาก็หมุนตามเข็มนาฬิกา ถ้าคล้องศอกซ้ายก็หมุนทวนเข็มนาฬิกา

11. การก้าวกระโดดสลับเท้า  (Skip) หมายถึงวิ่งกระโดดก้าวเท้าซ้ายกระโดดขึ้นเท้าซ้าย ก้าวขวากระโดดขวา การกระโดดในที่นี้หมายถึงการทำ Hop นั่นเอง แต่เป็นการกระทำที่เร็วคล้ายกับวิ่ง

12. สวิงมือ  (Hand Swing) หมายถึงการจับมือกับคู่ มือขวาจับมือซ้าย มือซ้ายจับมือขวาเอนตัวไปข้างหลังให้แขนตึง แล้วก้าวเท้าหมุนตัวไปรอบ ๆ กัน จะหมุนทวนเข็มนาฬิกาก็ได้
13. กระทืบเท้า หมายถึงการใช้เท้ากระทืบพื้นจะกระทืบเท้าเดียวติดต่อกันไป หรือกระทืบเท้าสลับกัน โดยลงพื้นให้เต็มฝ่าเท้า

14. ตามเข็มนาฬิกา หมายถึง การเลื่อนที่เป็นวงกลมโดยวนไปทางขวา

15. ทวนเข็มนาฬิกา หมายถึง การเคลื่อนที่เป็นวงกลมโดยวนไปทางซ้าย

16. ควบม้า (Callop) หมายถึง การให้เท้าใดเท้าหนึ่งสืบเท้าก้าวไปข้างหน้า แล้วก้าวเท้าหลังตามไปเร็ว ๆ เมื่อเท้าหลังก้าวตามไปแล้วให้ยกเท้าหน้าขึ้นพร้อมที่จะสืบเท้าก้าวต่อไป
การออกกำลังกาย
  การออกกำลังกายเป็นวิธีการในการพัฒนาทักษะการสั่งการ (motor skills), ความฟิตของร่างกายความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก และการทำงานของข้อต่อ การออกกำลังกายสามารถส่งผลไปยังกล้ามเนื้อเนื้อเยื่อเกี่ยวพันกระดูก และเส้นประสาทที่กระตุ้นกล้ามเนื้อนั้นการออกกำลังกายหลายประเภทมีการใช้กล้ามเนื้อในส่วนหนึ่งมากกว่าอีกส่วนหนึ่ง ในการออกกำลังกายแบบใช้ออกซิเจน (Aerobic exercise) กล้ามเนื้อนั้นจะออกกำลังเป็นระยะเวลานานในระดับที่ต่ำกว่าความสามารถในการหดตัวสูงสุด (maximum contraction strength) ของกล้ามเนื้อนั้นๆ (เช่นในการวิ่งมาราธอน) การออกกำลังกายประเภทนี้จะอาศัยระบบการหายใจแบบใช้ออกซิเจน ใช้ใยกล้ามเนื้อประเภท type I (หรือ slow-twitch), เผาผลาญสารอาหารจากทั้งไขมันโปรตีน และคาร์โบไฮเดรตเพื่อให้ได้พลังงาน ใช้ออกซิเจนจำนวนมากและผลิตกรดแลกติก (lactic acid) ในปริมาณน้อย  ในการออกกำลังกายแบบไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic exercise) จะมีการหดตัวของกล้ามเนื้อในระยะเวลารวดเร็ว และหดตัวได้แรงจนเข้าใกล้ความสามารถในการหดตัวสูงสุดของกล้ามเนื้อนั้นๆ ตัวอย่างของการออกกำลังกายแบบไม่ใช้ออกซิเจน เช่น การยกน้ำหนักหรือการวิ่งในระยะสั้นแบบเต็มฝีเท้า การออกกำลังกายแบบนี้จะใช้ใยกล้ามเนื้อประเภท type II (หรือ fast-twitch) อาศัยพลังงานจาก ATP หรือกลูโคส แต่ใช้ออกซิเจน ไขมัน และโปรตีนในปริมาณน้อย ผลิตกรดแลกติกออกมาเป็นจำนวนมาก และไม่สามารถออกกำลังกายได้นานเท่าการออกกำลังกายแบบใช้ออกซิเจน
การเคลื่อนไหวที่สร้างสรรค์
         กิจกรรมเข้าจังหวะ เป็นกิจกรรมการเคลื่อนไหวที่สร้างสรรค์ที่ช่วยเสริมสร้างและพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้เป็นอย่างดี เป็นการเคลื่อนไหวที่มีสุนทรียภาพก่อให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และความสนุกสนาน ได้ฝึกการเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐานรวมทั้งการฝึกประกอบดนตรี  เกิดความซาบซึ้งในดนตรี  ช่วยขัดเกลาจิตใจให้อ่อนโยน  ผู้ที่ฝึกกิจกรรมเข้าจังหวะได้ดีแล้วจะสามารถฝึกการเต้นในระดับสูงได้ดีต่อไป   ทักษะที่ใช้ในกิจกรรมเข้าจังหวะเริ่มตั้งแต่การฟังเพลงเพื่อจับจังหวะ  การเคลื่อนไหวเบื้องต้น  การเคลื่อนไหวประกอบเพลง  การฝึกร้องเพลงและการฝึกปรบมือหรือใช้อุปกรณ์ประกอบจังหวะ  การฝึกประกอบ  ท่าและประกอบเพลง  เมื่อฝึกคล่องแคล่วแล้วจะฝึกสร้างสรรค์คิดท่าทางประกอบเพลงที่เลือกเพื่อเสริมสร้างการเคลื่อนไหวตามจินตลีลา   
          นอกจากการเลือกกิจกรรมเข้าจังหวะให้สนุกสนานไปกับเสียงเพลงและการคิดท่าทางแปลกใหม่แล้ว กิจกรรมชนิดนี้ยังสามารถฝึกได้ในร่ม  เป็นกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจ  สังสรรค์ในหมู่เพื่อนฝูง  ใช้สำหรับการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพและยังใช้เป็นการแสดงกลางแจ้งหรือการแสดงบนเวทีในโอกาสต่าง ๆ จึงเป็นกิจกรรมที่ทุกคนได้แสดงการออกกำลังกายที่พัฒนาทักษะทางสังคมและมีโอกาสใช้เสียงดนตรีเข้ามาทำให้กิจกรรมการออกกำลังกายน่าสนใจ  ใช้เป็นกิจกรรมพัฒนาบุคลิกภาพได้เป็นอย่างดีทักษะการเคลื่อนไหวที่ใช้มีตั้งแต่การฟังจังหวะ การเคาะจังหวะ การเดิน การวิ่ง การสไลด์ การกระโดด การเขย่ง การเดินสองจังหวะ การวิ่งสลับเท้า และการผสมผสานทักษะต่าง ๆ เข้ากับเสียงเพลง  หากนักเรียนมีเพลงโปรดหรือเพลงประจำตัว เมื่อนักเรียนฟังเพลงพร้อมกับร้องตามและเคลื่อนไหวท่าทาง
ประกอบเพลงไปด้วยนักเรียนก็จะมีความสุขอย่างมาก
ทักษะทางกลไกและการเคลื่อนไหวในการเล่นกีฬา
1. ความคล่องตัว (Ability) หมายถึง ความสามารถในการเปลี่ยนทิศทางในการเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวนั้น
2. การทรงตัว (Balance) หมายถึง ความสามารถในการรักษาสมดุลของร่างกายเอาไว้ได้ ทั้งในขณะอยู่กับที่และขณะที่เคลื่อนไหว
3. การประสานสัมพันธ์ (Coordination) หมายถึง ความสามารถในการเคลื่อนไหวอย่างราบรื่น กลมกลืน และมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นการทำงานที่ประสานสัมพันธ์
4. พลังกล้ามเนื้อ (Power) หมายถึง ความสามารถของกล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่งหรือหลายๆส่วนของร่างกาย ในการหดตัวเพื่อทำงานด้วยความเร็วสูง แรงหรืองานที่ได้เป็นผลรวมของความแข็งแรงและความเร็วที่ใช้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆเช่น การยืนอยู่กับที่ การกระโดดไกล การทุ่มลูกน้ำหนัก
5. เวลาปฏิกิริยาตอบสนอง (Reaction Time) หมายถึง ระยะเวลาที่ร่างกายใช้ในการตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆ เช่น แสง เสียง
6. ความเร็ว (Speed) หมายถึง ความสามารถในการเคลื่อนที่จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้อย่างรวดเร็ว